เกริ่นนำ
นิทรรศการสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 จัดแสดงเรื่องราว พระราชประวัติ พระราชจริยาวัตร และพระราชกรณียกิจ โดยนำเสนอเนื้อหาตั้งแต่ทรงเสด็จพระราชสมภพ อภิเษกสมรส เสด็จประพาสทั้งในและต่างประเทศ เสด็จแปรพระราชฐานประทับ ณ ประเทศอังกฤษ และพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่ทรงอุทิศพระวรกายมาโดยตลอดพระชนม์ชีพควบคู่ไปกับวัตถุจัดแสดงส่วนพระองค์และสิ่งของที่มีความเกี่ยวเนื่อง
เจ้าหญิงแห่งวังศุโขทัย
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 มีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัฒน์ เป็นพระธิดาพระองค์เดียวของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ (พระอนุชาในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ) กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี พระราชสมภพเมื่อวันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2447
คู่บารมี
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ในวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2468 นั้น นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงพระอิสริยยศของหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีอย่างแท้จริง เนื่องด้วยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระบรมเชษฐาธิราช เป็น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณสถาปนาพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระอัครมเหสี เฉลิมพระนามว่า “สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี”
คลื่นกระทบฝั่ง
ย่ำรุ่งวันที่ 24มิถุนายน พุทธศักราช 2475 วันแห่งการแห่งการอภิวัฒน์สยามคณะราษฎรได้กระทำการยึดอำนาจ ล้มล้างการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
ท่ามกลางความวุ่นวายใจกลางพระนคร ณ เวลานั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯแปรพระราชฐาน ณ วังไกลกังวล และทรงทราบเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงในช่วงเช้าวันเดียวกัน
ในวันนั้น คณะราษฎรได้ส่งโทรเลขไปกราบบังคมทูลให้ทรงทราบเรื่องที่ได้ยึดอำนาจและขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ โดยเชิญให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จพระราชดำเนินกลับมาดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยนาวาตรีหลวงศุภชลาศัยได้นำเรือรบหลวงสุโขทัยมารับเสด็จกลับพระนคร
จากนิราศสู่นิรันดร์
ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงย้ายมาประทับในย่านเวอร์จิเนีย วอเตอร์ ณ พระตำหนักคอมพ์ตัน แต่ด้วยทรงผูกพันกับที่ประทับหลังเดิม จึงโปรดให้สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีเสด็จไปเก็บดอกไม้ที่พระตำหนักเวนคอร์ตในเช้าวันที่ 30 พฤษภาคม พุทธศักราช 2484 แต่ระหว่างทางก็ทรงได้รับข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงประชวรอยู่นั้น ได้เสด็จสวรรคตด้วยอาการพระหทัยวาย จึงรีบเสด็จกลับทันที หลังจากนั้น 4 วัน สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงจัดพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพขึ้น ณ ฌาปนสถานโกลเดอร์สกรีนทางตอนเหนือของกรุงลอนดอนท่ามกลางพิธีที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย
พระกรุณามากพ้นรำพัน
หลังจากที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เสด็จพระราชดำเนินกลับมาจากประเทศอังกฤษเมื่อพุทธศักราช 2492 แล้ว ในช่วงแรกพระองค์ประทับอยู่ที่วังสระปทุม แต่ด้วยทรงเกรงพระหทัยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีประกอบกับต้องพระราชประสงค์ประทับอยู่อย่างเงียบๆ ท่ามกลางพระประยูรญาติ จึงทรงซื้อที่ดินบริเวณตำบลบ้านแก้ว จังหวัดจันทบุรี เพื่อสร้างที่ประทับซึ่งพระราชทานนามว่า “สวนบ้านแก้ว”
ในชนบทห่างไกลนั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงดำเนินกิจการด้านการเกษตรประเภทเลี้ยงตนเอง ปลูกพืชผัก ผลไม้ และเลี้ยงวัวและไก่ เป็นต้น นอกจากนี้พระองค์ยังได้เผยแพร่ผลการทดลอง และพระราชทานพันธุ์พืชและพันธ์สัตว์แก่ประชาชนในท้องถิ่น ทรงพัฒนาการทอเสื่อจันทบูรหัตถกรรมพื้นบ้านของชาวจังหวัดจันทบุรี โดยโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งโรงงานทอเสื่อกกจันทบูร โดยนำเสื่อที่ทอมาประกอบเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยเป็นตัวอย่างให้แพร่หลายออกไป
เสด็จสู่สวรรคาลัย
22 พฤษภาคม 2564 วันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ทรงสถิตเป็นนิรันดร์ในใจราษฎร์
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงเป็นพระบรมราชินีพระองค์แรกในระบอบประชาธิปไตยที่กอปรด้วยพระจริยวัตรงดงามเพียบพร้อม ทรงดำรงพระชนม์ชีพอย่างเรียบง่ายด้วยพระอัธยาศัยนุ่มนวลอ่อนโยน ในยามที่ต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์ต่างๆก็มีพระราชหฤทัยเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว
ทรงเป็น “คู่ทุกข์คู่ยาก” ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังทรงเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณแก่พสกนิกรทั่วไปอย่างสม่ำเสมอตลอดพระชนม์ชีพ ความดีงามแห่งพระราชอัธยาศัยดังกล่าวนี้จึงเป็นที่ประทับใจผู้ที่เคยใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ตลอดจนชาวไทยทั้งปวงอย่างไม่รู้ลืมเลือน
นิทรรศการหมุนเวียน
รอข้อมูล
การสืบราชสันตติวงศ์
ภายหลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2477 มีพระราชหัตถเลขา “สละราชสมบัติ และออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์...ไม่ต้องพระราชประสงค์ที่จะบ่งนามผู้หนึ่งผู้ใด ให้เป็นผู้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์” สภาผู้แทนราษฎรมีมติให้กราบทูลเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ขณะทรงเจริญพระชนมายุ 9 พรรษา เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ด้วยทรงเป็นพระบรมวงศ์พระองค์ที่ 1 ในลำดับพระราชสันตติวงศ์แห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช 2467
พระราชประวัติก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์
ศาลาเฉลิมกรุง
เครื่องราชภัณฑ์และพระราชนิยมส่วนพระองค์
พระราชประวัติหลังสละราชสมบัติ
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ใน พ.ศ. 2468 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยสิริราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระปฐมบรม ราชโองการความว่า “…ดูกรพราหมณ์ บัดนี้เราทรงราชภาระครองแผ่นดินโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและสุขแห่งมหาชน เราแผ่ราชอาณาเหนือท่านทั้งหลายกับโภคสมบัติ เป็นที่พึ่งจัดการปกครองรักษาป้องกันอันเป็นธรรมสืบไป ท่านทั้งหลายจงวางใจอยู่ตามสบาย...” เทอญทรงรับการน้อมเกล้าฯ ถวายเครื่องราชเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องบรมราชาภรณ์และเครื่องประดับพระอิสริยยศในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชกรณียกิจ
ในช่วงระยะเวลา 9 ปีแห่งการครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกรณียกิจสำคัญด้านต่างๆ อาทิ การแก้ไขภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์อักษรไทยที่สมบูรณ์ การประกวดแต่งหนังสือสอนพระพุทธศาสนาสำหรับเด็ก การพระราชทานปริญญาบัตรสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาเป็นครั้งแรก พระราชกรณียกิจด้านการสื่อสาร การเสด็จประพาสในประเทศและต่างประเทศ การทบทวนและจัดทำสนธิสัญญาไมตรี การสร้างระบบราชการให้เป็นคุณธรรม ฯลฯ
งานฉลองพระนครครบ 150 ปี 2475
- พระราชพิธีฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
- พระราชพิธีเปิดปฐมบรมราชานุสรณ์
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475
เช้าตรู่วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 “คณะราษฎร” ได้ทำการยึดอำนาจด้วยวัตถุประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระราชหฤทัยเสด็จพระราชดำเนินกลับเข้ากรุงเทพฯ พระราชทานความร่วมมือแก่คณะราษฎรเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้เข้าสู่ความสงบเรียบร้อย และหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่การสูญเสียในบ้านเมือง วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ทูลเกล้าฯ ถวายร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พุทธศักราช 2475 พร้อมด้วยการร่างพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน เพื่อลงพระปรมาภิไธย โดยทรงเติมคำว่า “ชั่วคราว” ลงไป รัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยจึงมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475”